บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การสอนโฮมรูม

"ครูประจำชั้นต้องทำหน้าที่เป็นครูแนะแนวได้"
หนึ่งในหน้าที่ของครูประจำชั้น
การเเนะเเนวจะเป็นได้อย่างไร
จิตวิทยาการแนะแนว
ผศ. ดร. ทศพร  ประเสริฐสุข
ความหมายของการแนะแนว
การแนะแนว หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยให้ บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม สามารถนำตนเองได้ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ ปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
            การแนะแนวไม่ใช่การแนะนำ อาจกล่าวได้ว่าการแนะแนวเป็นการช่วยเหลือ ให้เขาสามารถช่วยตนเองได้
ประเภทของการแนะแนว
1. การแนะแนวการศึกษา (Education Guidance)
2. การแนะแนวอาชีพ (Vocational Guidance)
3. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Guidance)

การเข้าถึงตัวผู้เรียนเราจะสามารถทำได้อย่างไร เพื่อให้เราได้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงของผู้เรียน โดยผู้เรียนรูปสึกสนุกสนานได้พร้อมๆกับการให้ข้อมูลต่อครู
ครั้งนี้ขอเสนอกินกรรมโฮมรูม ที่น่าจะเหมาะกับเด็กเล็ก
คาบเเรก ที่พบครูเริ่มที่ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการเเนะนำตนเองให้ครูและเพื่อนๆ ได้รู้จักโดยกิจกรรมนันทนาการ มีบทเพลงอยู่หลายบทเพลงที่สามารถเป็นเพลงในการเเนะนำตัว ไม่ว่าจะเป็น "เธอชื่ออะไร" "สวัสดีครับ" เพลงที่ใช้ในค่ายต่างใช้ได้ค่ะ  เน้นสนุกเเต่ไม่น่าเบื่อ เป็นกิจกรรมละลายพฤติกรรมจะพูดเช่นนั้นก็ได้
คาบที่ 2 เริ่มสอนอะไรที่แปลกใหม่ เช่นการทำสมุดทำมือ จากกระดาษรีไซเคิล ครูหลายคนคงรู้วิธีทำนะค่ะ กระดาษเเผ่นเดียวทำให้ได้ตั้งหลายหน้า  จากนั้นสอนการเขียนเพดดีกรีของครอบครัว  โดยให้ผู้เรียนเขียนลงในสมุดทำมือที่ทำขึ้นสามารถลงสีสันให้สวยงามได้
คาบที่ 3 ให้นักเรียนเขียน my story ใช้คำแปลกๆ เก๋ เพื่อให้ผู้เรียนสนใจมากขึ้น การเขียน my story ครูควรตั้งกรอบคำถามให้นักเรียนเพื่อให้ได้ข้อมูลของนักเรียนครบตามที่ครูต้องการ แต่ำม่ควรมากเกินไป เพราะนี่จะกลายเป็นการเขียนการบ้านที่นักเรียนต้องหาคำตอบ และสิ่งที่สำคัญให้ผู้เรียนเขียนในสิ่งที่อยากให้ครูรู้
  กิจกรรมแค่ 3 คาบ ก็ทำให้เราได้ทราบเรื่องราวของผู้เรียนมากพอควรเเล้วนะค่ะ
ยังมีอีก..แต่ขอเสนอไว้เเค่นี้ละกันก่อนนะค่ะ
ในการเข้าโฮมรูมสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการด้วย คุณครูอย่าได้ลืมนะค่ะ  ช่วยๆกัน นะ

ใครมีแนวคิดดีดีร่วมแลกเปลี่ยนนะค่ะ


วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Prime Numeber

วิธีการเล่น
1. เริ่มต้นที่ศูนย์ ผลัดกันทอดลูกเต๋าและการในการเดินให้เดินด้วยหมายเลขที่ได้จากการทอดลูกเต๋า อาจใช้เป็นหมายเลขเดียวหรือนำเลขของลูกเต๋ามาบวก หรือ ลบ กันแล้วนำผลของการกระทำมาเดิน พยายามใช้ให้การเดินนั้นๆเดินไปถึงอีกจำนวนเฉพาะ
   ตัวอย่าง :
      มาร์กทอดลูกเต๋าได้แต้ม  5,
      รอบต่อมาทอดลูกเต๋าได้ 6 และ 2
      มาร์กมีทางเลือกในการเดินคือ
      1. เลือกเดินไปถึง 13 จากการนำ 6+2= 8)
      2. เลือกเดินไปถึง 7 จากการนำ 6-4=2 
      แต่ ไม่สามารถเดินแบบ 6-2 เพราะจะไปถึง 9 ซึ่งไม่ใช่จำนวนเฉพาะ
2. ถ้าการเดินแต่ละครั้งไปไม่ถึงจำนวนเฉพาะผู้เล่นก็ยังคงอยู่ที่จุดเดิม
3. เล่นคนแรกที่ไปถึง 97 ถือว่าเป็นผู้ชนะ
หมายเหตุ
: การเดินต้องไปถึงจำนวนเฉาพะเท่านั้นหากเดินไปไม่ตรงกับจำนวนเฉพาะผู้เล่นต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น
วัสดุ :
1. ลูกเต๋า 2 ลูก2. กระดานเกม
3. เบี้ยตัวเดิน
ทักษะที่ใช้ในการเล่นเกม :การคำนวณ, การสื่อสารทักษะทางสังคม (การทำงานร่วมกันเพื่อตรวจสอบคำตอบที่ถูกต้อง) คิดเชิงสร้างสรรค์ (การตัดสินใจในจังหวะที่ดีที่สุด)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
1. จำนวนเฉพาะ
2. จำนวนเเละการดำเนินการ

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประยุกต์ TANGRAM

 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
1.  พื้นที่ของรูปเรขาคณิต
2. ลำดับอนุกรม



กิจกรรมเทสเลชัน

กิจกรรมเทสเลชัน
ให้นักเรียนสร้ารูปต้นแบบเทสเลชันจากตัวอย่างนี้ จากนั้นจึงเขียนลวดลายบนตัวแบบเทสเลชันที่สร้างให้สวยงามแล้วนำไปเขียนเรียงต่อกันให้เต็มพื้นระนาบก็จะได้งานเทสเซลเลชัน
--------------------------------------------------------------------------
จุดประสงค์
1. นักเรียนสามารถนำความรู้เรื่องการหมุน การสะท้อน และการเลื่อนขนาน ในการสร้างงานเทสเลชันได้
2. นักเรียนสามารถประยุกต์ความรู้เรื่องเทสเลชันเพื่อใช้ในการเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้
-------------------------------------------------------------------------
สาระการเรียนรู้

Tessellation คือ การนำรูปหลายเหลี่ยมชนิดต่างๆ มาเรียงต่อกันให้เต็มพื้นที่ โดยไม่ให้เกิดช่องว่าง หรือ เหลื่อมกัน จะโดยการเลื่อนขนาน การสะท้อน หรือหมุน
การเลื่อนขนาน (Translation) หมายถึง การแปลงทางเรขาคณิตแบบหนึ่งที่เกิดจากการเลื่อนจุดทุกจุดของรูปต้นแบบเคลื่อนไปในทางเดียวกัน เป็นระยะทางเท่ากัน โดยที่ขนาดและรูปร่างยังคงเท่าเดิม เปลี่ยนแปลงเฉพาะตำแหน่งของรูปต้นแบบเท่านั้น
สมบัติการเลื่อนขนาน
1. สามารถเลื่อนรูปต้นแบบทับภาพที่ได้จากการเลื่อนขนานได้สนิทโดยไม่ต้องพลิกรูปหรือกล่าวว่ารูปต้นแบบและภาพที่ได้จากการเลื่อนขนานจะเท่ากันทุกประการ
2. ส่วนของเส้นตรงบนรูปต้นแบบและภาพที่ได้จากการเลื่อนขนานของส่วนของเส้นตรงนั้นจะขนานกัน
การหมุน (Rotation) หมายถึง การส่งจุดใด ๆ บนบุพภาพไปยังบนภาพ โดยที่จุดบนบุพภาพจะเคลื่อนที่รอบจุดศูนย์กลางของการหมุน (Center of rotation) หรือจุดหมุนไปยังภาพของจุดด้วยขนาดของมุมที่เท่ากัน
การสะท้อน(Reflection) หมายถึง การส่งจุดใด ๆ บนบุพภาพไปยังจุดบนภาพผ่านเส้นสะท้อน (reflection line or mirror line) โดยที่ระยะห่างจากจุดใด ๆ บนบุพภาพไปยังเส้นสะท้อนจะเท่ากับระยะห่างจากภาพของจุดนั้น ๆ บนภาพไปยังเส้นสะท้อน











วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สอนอย่างไร เด็กไทยถึงจะคิดเป็น


สอนอย่างไร เด็กไทยถึงจะคิดเป็น

“เด็กไทยไม่เก่งเรื่องการคิด การใช้เหตุผลก็เพราะครูไทยเองก็ไม่สัดทัดในการใช้เหตุผล เราให้ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงแต่เราไม่ให้ความรู้ที่เป็นทักษะการคิด ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายที่เด็กไทยเสียเวลาในการเรียนรู้ข้อเท็จจริงมากเป็นร้อย ๆ หน้า โดยไม่ได้อะไรเป็นผลตอบแทนเลย”

จากสภาพการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเด็กไทย ซึ่งจะพบว่า นักเรียนมีศักยภาพในด้านทักษะการคิดต่ำ ปัญหาของเด็กที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน คือ พื้นฐานในการเรียนรู้ในโลกอนาคต กระบวนการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นผลมาจาก เด็กไทยคิดไม่เป็น จึงส่งผลให้แก้ปัญหาไม่ได้
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลางในโรงเรียน เน้นการให้ความรู้ การให้นักเรียนท่องจำเป็นสำคัญ ไม่ได้ฝึกให้เด็กเกิดทักษะการคิด การแก้ปัญหา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในระบบโรงเรียน ทั้ง ๆ ที่แนวคิดเรื่องการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีการนำมาเผยแพร่ในเมืองไทยกว่า 20 ปี และเกือบจะ 30 ปี มาแล้ว การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2503 เป็นหลักสูตร พ.ศ. 2521 ก็ได้ใช้แนวคิดหลักในการเปลี่ยนแปลง ต่อมาเมื่อหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521 ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2533 แนวคิดนี้ก็ยังคงอยู่จวบจนปัจจุบันที่มีการปฏิรูปการศึกษา และเปลี่ยนเป็นหลักสูตร พ.ศ. 2544 แล้วก็ตาม ก็ยังปรากฏให้มีการปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอน โดยให้ใช้แนวความคิดนี้
ระบบการเรียนการสอนในอดีตที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่ได้ให้ความสำคัญของกระบวนการคิดเท่าที่ควร การจัดการเรียนการสอนได้มีการท่องจำที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนานหลายร้อยปี ทำให้เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ขาดความสามารถในการวิเคราะห์ ไม่เสริมสร้างให้ผู้เรียนคิดเป็น วิเคราะห์และประยุกต์เป็น ส่งผลให้สิ่งที่เรียนมากลายเป็นความรู้ที่ไม่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตได้ ครูมีหน้าที่เป็นนักถ่ายทอดข้อมูลมากกว่าเป็นผู้ชี้แนะความรู้ การวัดผลไม่ได้ช่วยช่วยฝึกให้ผู้เรียนรู้จักใช้ความคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์
นอกจากนั้นแล้ว นักเรียนยังเคยชินกับการสอนและการสอบที่นิยมคำตอบที่ดีที่สุดเพียงคำตอบเดียว (Best Answer) โดยนักเรียนจะให้ความสนใจแต่คำตอบที่สุด (key) ละเลยคำตอบที่เป็นตัวลวง (distracter) ที่ถูกน้อยกว่า เป็นการปลูกฝังให้นักเรียนมองปัญหาด้านเดียว หรือมองโลกแบบมิติเดียว ไม่สามารถมองโลกแบบหลายมิติได้ มองว่าปัญหาหนึ่ง ๆ จะต้องมีเพียงคำตอบเดียว ปัญหาหนึ่ง ๆ จะต้องมีวิธีแก้ไขเพียงวิธีเดียว ไม่มีคำตอบหรือวิธีอื่นอีกแล้ว แต่ตามความเป็นจริงแล้วปรากฏการณ์หนึ่ง ๆ สามารถอธิบายได้ด้วยชุดเหตุผลที่หลากหลาย ไม่ใช่ชุดเหตุผลชุดเดียว เพราะความจริงมีหลายมิติ เพื่ออธิบายเรื่องราวหนึ่ง เหตุและผลชุดหนึ่งก็จะถูกสร้างขึ้น และทุกอย่างก็จบที่ชุดเหตุและผลนั้น นี่คือการคิดแบบมิติเดียว คำตอบทุกคำตอบมีความจำกัด ปรากฏการณ์หนึ่ง ๆ ไม่เพียงแต่เชื่อมต่อกับปรากฏการณ์อื่น ๆ เท่านั้น หากยังมีรากของปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ดังนั้นมิติในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ จึงต้องมีมิติไม่เพียงแต่ภาพด้านกว้างเท่านั้น
ในช่วงที่ผ่านมา คนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจมีวันละไม่น้อยกว่า 5 คนเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการมีทักษะการคิดและการแก้ปัญหาต่ำ ประกอบกับการไม่สามารถมองโลกแบบหลายมิติได้ เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เป็นปัญหารุนแรง จึงไม่สามารถมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหา จะรู้สึกท้อแท้และหมดหวัง เกิดความเครียดและหาทางขจัดความเครียดด้วยวิธีฆ่าตัวตายในที่สุด
ตลอดชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เราต้องผจญกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่หรือปัญหาเล็ก การศึกษามีเป้าหมายหลักคือ การสร้างคนให้มีความคิด รักในการเรียนรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม มีหลักในการตัดสินใจ มีความคิดสร้างสรรค์ ทำงานได้ และทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็น รวมทั้งมีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะแสวงหาความรู้ได้เองโดยไม่สิ้นสุด จะเห็นได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของการศึกษาก็คือ การสอนให้นักเรียนรู้จักแก้ปัญหานั่นเอง โดยสอนให้แก้ปัญหาทั้งที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า และสอนให้เสาะแสวงหาปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้นและพยายามหาทางที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น เราเรียกคนเช่นนี้ว่า เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) บุคคลเหล่านี้คือ ผู้ที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่สังคมมนุษย์
ดังนั้น การที่จะสอนให้นักเรียนมีทักษะในการคิดก็คือ จะต้องทำให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาได้ ด้วยกระบวนการคิดสร้างสรรค์

การแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์
ปัญหา หมายถึง สภาพการณ์ที่ต้องการการแก้ไขหรือต้องการหาคำตอบซึ่งเรายังไม่สามารถมีได้ทันที คำตอบที่ได้จากการแก้ไขปัญหาหนึ่งจะช่วยในการแก้ปัญหาที่คล้ายคลึงกัน และจะช่วยพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ในส่วนรวมได้ด้วย
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การใช้ความคิดเชิงประยุกต์จากความคิดทั่วไป เพื่อให้ได้ผลงานใหม่ ที่เป็นประโยชน์จากสิ่งที่คิดนั้น เป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา หรือสิ่งที่ขาดหายไป หรือสิ่งที่ยังไม่ประสานกัน แล้วเกิดความพยายามในการสร้างแนวคิด ตั้งสมมุติฐาน ทดสอบสมมุติฐาน และเผยแพร่ผลที่ได้ให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจ อันเป็นแนวทางค้นพบสิ่งใหม่ต่อไป
การแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน กิลฟอร์ด (Guildford) ได้กล่าวว่า การแก้ปัญหาเป็นผลมาจากการคิดทางเดียว (Convergent thinking)และการคิดหลายทาง (Divergent thinking) การคิดทางเดียว หมายถึง การที่ผู้แก้ปัญหาได้คำตอบหลายคำตอบสำหรับปัญหานั้น ถึงแม้ว่าการเรียนการสอนในโรงเรียนจะนิยมคำตอบที่ดีที่สุดเพียงคำตอบเดียวสำหรับการแก้ปัญหา แต่นักจิตวิทยามีความเห็นว่า การคิดหลายทางหรือการมีคำตอบหลายคำตอบเป็นการคิดที่มีคุณค่ากว่า และมักจะเปรียบเทียบการคิดหลายทางว่าเท่ากับการคิดสร้างสรรค์
ในสังคมไทยสมัยใหม่มีปัญหาใหม่ ๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่และยาก เพราะเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ปัญหาช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ปัญหาความแตกสลายทางสังคม เช่น ครอบครัวแตก ชุมชนแตก ปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อม ปัญหาอาชญากรรมและความรุนแรงต่าง ๆ ปัญหาโสเภณีเด็ก ปัญหาสุขภาพจิตเสื่อม และปัญหายาเสพติดเป็นต้น ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยากต่อการแก้ไขหรือแก้ไขไม่ได้เลย การใช้ความคิดเก่า วิธีการเก่ากับปัญหาใหม่จึงไม่ได้ผล ปัญหาดังกล่าวจึงต้องการแนวความคิดและแนวทางใหม่ หรือกระบวนทรรศน์ใหม่ (New paradigm) ในการแก้ไข หมายความว่า จะใช้การคิดแบบธรรมดาแบบเดิม ๆ ไม่ได้ จะต้องใช้ความคิดเชิงประยุกต์จากความคิดทั่วไปซึ่งก็คือ การใช้กระบวนการคิดสร้างสรรค์นั่นเอง
ลักษณะของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์
ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ คือ บุคคลที่สามารถใช้ความคิดเชิงประยุกต์จากความคิดทั่วไปเพื่อให้ได้ผลงานใหม่ที่หลากหลาย แหวกแนว แต่เป็นประโยชน์ โดยไม่ยึดติดกับกรอบความคิดหลัก ตรงกับหลักพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ หมายถึง
การรู้จักคิด คิดเป็น คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล คิดในทางที่จะเข้าถึงความเจริญของสิ่งทั้งหลาย คิดในทางที่ทำให้รู้จักใช้สิ่งทั้งหลายให้เป็นประโยชน์ ผู้ที่ใช้วิธีการนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม วิธีการศึกษาของนักจิตวิทยา เพื่อให้ทราบว่า บุคคลใดมีความคิดสร้างสรรค์ โดยดูที่องค์ประกอบ 3 อย่างคือ
1. ดูที่ผลงาน (The Product Approach)
2. ดูที่กระบวนการ (The Process Approach) ได้แก่การวิเคราะห์การทำงานภายในสมองของผู้คิดสร้างสรรค์ แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนคือ
- ขั้นเตรียม (Preparation) ผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรู้ รู้ปัญหา และความคิดในการแก้ปัญหาต่าง ๆ
- ขั้นฟูมฟัก (Incubation) ผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีการคิดใคร่ครวญถึงปัญหาทั้งในขณะที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
- ขั้นรู้แจ้ง (Illumination) ความคิดเข้ารูปเข้ารอยอย่างกะทันหัน หาวิธีแก้ปัญหาได้แล้ว
- ขั้นตรวจสอบ (Verification) ตรวจสอบว่า วิธีแก้ปัญหานั้นได้ผลจริงหรือไม่
3. ดูที่ตัวบุคคล (The Person Approach) ได้แก่ การศึกษาประวัติ ลักษณะนิสัยของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อมาเขียนเป็นโครงร่าง (Profile) ของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์
การศึกษากระบวนการคิดสร้างสรรค์นี้จะดูเพียงองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้ ต้องดูจากทั้ง 3 องค์ประกอบพร้อม ๆ กัน เพราะคนบางคนอาจจะมีลักษณะนิสัยตรงกับลักษณะของผู้มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ขาดผลงาน หรือขาดความคิดก็ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์

รูปแบบความสามารถที่เป็นความคิดสร้างสรรค์
1. ความคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง ลักษณะความคิดแปลกใหม่แตกต่างจากความคิดธรรมดาไม่เหมือนคนอื่นหรือแปลกกว่าคนอื่น
2. ความคิดคล่องตัว (Fluency) หมายถึง การมีความคิด มีวิธีหรือคำตอบใน
การแก้ปัญหาได้หลายทาง ตลอดจนมีความสามารถในการคิดที่รวดเร็วและต่อเนื่อง
3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ความสามารถในการมองปัญหาได้หลายด้านและสามารถเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาได้ทันทีที่รูสึกว่ามีความจำเป็น
4. ความคิดละเอียดลออ (Elaboration) หมายถึง ความสามารถในการขยายและตกแต่งความคิดให้สมบูรณ์ เกิดเป็นภาพชัดเจนและได้ความหมาย
แนวทางในการพัฒนากระบวนการคิดสร้างสรรค์
ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในระดับสูง จะต้องได้รับ
การฝึกฝนทักษะการคิดที่จะต้องฝึกให้เกิดขึ้นกับเด็ก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์มี 2 ระดับ คือ
1. ทักษะการคิดพื้นฐาน จำนวน 31 ทักษะ แบ่งเป็น
- ทักษะการสื่อความหมาย 15 ทักษะ ได้แก่ การฟัง การอ่าน การรับรู้
การจดจำ การจำ การคงสิ่งที่เรียนไปแล้วไว้ได้ภายหลังการเรียนนั้น การบอกความรู้ที่ได้จากตัวเลือกที่กำหนดให้ การบอกความรู้ออกมาด้วยตนเอง การใช้ข้อมูล การบรรยาย
การอธิบาย การทำให้กระจ่าง การพูด การเขียน การแสดงออกถึงความสามารถของตน
- ทักษะที่เป็นแกนหรือทักษะการคิดทั่วไป 16 ทักษะ ได้แก่ การสังเกต
การสำรวจ การตั้งคำถาม การเก็บรวบรวมข้อมูล การระบุ การจำแนกแยกแยะ
การจัดลำดับ การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การสรุปอ้างอิง การแปล การตีความ
การเชื่อมโยง การขยายความ การใช้เหตุผล การสรุปย่อ
2. ทักษะการคิดชั้นสูง หรือทักษะการคิดที่ซับซ้อน จำนวน 16 ทักษะ เป็นทักษะที่จะพัฒนาได้เมื่อเด็กได้รับการพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐาน จนมีความชำนาญพอสมควรแล้ว ได้แก่ การสรุปความ การให้คำจำกัดความ การวิเคราะห์ การผสมผสาน ข้อมูล
การจัดระบบความคิด การสร้างองค์ความรู้ใหม่ การกำหนดโครงสร้างความรู้ การแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างความรู้เสียใหม่ การค้นหาแบบแผน การหาความเชื่อพื้นฐาน
การคาดคะเน/การพยากรณ์ การตั้งสมมุติฐาน การทดสอบสมมุติฐาน การตั้งเกณฑ์
การพิสูจน์ความจริง การประยุกต์ใช้ความรู้
กิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กฝึกทักษะการคิด ได้แก่
1. การระดมสมอง ให้เด็กได้ช่วยกันเสนอความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังคิดอยู่ ทำให้บรรยากาศที่เป็นอิสระ เพื่อให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา โดยจะต้องไม่มี
การวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินความคิดของใคร ต้องไม่มีบรรยากาศของการแข่งขัน มีแต่ความร่วมมือกัน ให้กำลังใจกัน เป็นกันเอง
2. การฝึกความคิดแบบอเนกนัย เป็นความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า และแสดงออกมาได้หลาย ๆ แบบ หลาย ๆ วิธี
3. การสอนตามแนวคิดแบบนีโอฮิวแมนนิส คือ การสอนภายใต้บรรยากาศของความเป็นอิสระในการเรียนรู้ มีการส่งเสริมการแสดงออกอย่างเปิดเผย
4. การใช้เทคนิคการคิดนอกกรอบ เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้พัฒนาความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนได้
5. การสอนแบบสืบสวน เป็นการส่งเสริมความคิดหลายทาง และส่งเสริมให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็น
6. การใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
7. การใช้รูปแบบการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของ ทอแรนซ์ ในรูปแบบการคิดนี้มีการใช้เทคนิคระดมสมองเพื่อค้นพบปัญหา และเพื่อคิดวิธีคิดปัญหาเป็นขั้นตอนย่อยอยู่ด้วย
8. การฝึกให้นักเรียนคิดเอาใจเขามาใส่ใจเราหรือการรู้จักรับฟังความคิดเห็น หรือความรู้สึกของผู้อื่น
9. การใช้กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยศูนย์การเรียนคอมพิวเตอร์ กิจกรรมนี้มีส่วนช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลได้มาก
10. การใช้กิจกรรมพัฒนาความสามารถในการประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ
ซึ่งแนวทางการพัฒนากระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่กล่าวมานี้ ครูจำต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของทักษะ และลักษณะการคิดอันเป็นพฤติกรรมพื้นฐานนำไปสู่กระบวนการคิดแล้วใช้ความเหมาะสมของเวลา และเนื้อหาในบทเรียน หรือโอกาสอื่น ๆ ในการจัดการเรียนการสอน ฝึกให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เมื่อนักเรียนได้รับการฝึกบ่อยครั้งเข้าก็จะกลายเป็นความชำนาญ ทำให้เด็กคิดเป็น และแก้ปัญหาได้
การคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ผู้คิดจะต้องใช้ทักษะและลักษณะการคิดหลายอย่างประกอบกัน การฝึกฝนก็ต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย แต่ทุกวิธีจะมีจุดร่วมเดียวกัน คือ จะต้องดำเนินการภายใต้บริบทของการเรียนการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child centered) การคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กมีความสัมพันธ์กับการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนของครู หมายความว่า ถ้าครูเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนมายึดเด็กเป็นศูนย์กลาง โอกาสที่เด็กจะมีความคิดสร้างสรรค์ก็มีมากขึ้น ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กก็จะสูงขึ้น เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แต่ก่อนที่จะหวังให้เด็กไทยคิดเป็นและแก้ปัญหาได้นั้น ได้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า ณ เวลานี้ ครูเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนหรือยัง และครูมีความเข้าใจแนวคิดการจัดการเรียนการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลางมากน้อยเพียงใด หรืออาจจะต้องแก้ปัญหาที่ครูด้วยกระบวนการคิดสร้างสรรค์

ขุมทรัพย์อัตราส่วน

ขุมทรัพย์อัตราส่วน



คำชี้แจง ให้นักเรียนหาทางออกจากขุมทรัพย์โดยให้เดินออกจากจุดเริ่มต้น


เดินตามอัตราส่วนที่มีค่าเท่ากันจนถึงจุดปลายทางก็จะสามารถหาทางออกได้


ปรับปรุงงมาจาก : คุณเสาวภา อนุเพชร







KITE AND DART

เป็นรูปที่เกิดจากการตัดรูปตามอัตราส่วนทอง

เมื่อวาดลวดลายในเเต่ละมุม แล้วนำมาต่อกันหลายๆชิ้นส่วนจะทำให้เกิดรูปต่างๆ

ลองทำดูแล้วคุณจะรู้ว่าคุณก็มีความคิดสร้างสรรค์

ผลงานเพื่อนๆ ป.โท มศว.